“ไวน์” ถือเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของนักดื่มทั่วโลกที่มีประวัติยาวนาน มีอยู่หลากหลายประเภท เช่น ไวน์แดง ไวน์ขาว ไวน์หวาน ไวน์โรเซ่ ในปัจจุบันนี้มีไวน์คุณภาพดีที่ราคาไม่แพงและหาซื้อได้ง่ายอยู่มากมายหลายยี่ห้อ ไวน์จึงสามารถดื่มได้ในทุกโอกาสไม่เพียงแต่เฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเพื่อเพิ่มรสชาติให้มื้ออาหาร การดื่มเพื่อผ่อนคลายความเครียด การเพิ่มบรรยากาศในงานสังสรรค์ รวมทั้งการดื่มเพื่อสุขภาพ โดยจะ ดื่มไวน์ตอนไหนดี การดื่มไวน์ที่ถูกต้องมีอะไรบ้าง นั้น บทความนี้มีคำตอบมาให้แล้ว

ดื่มไวน์ตอนไหนดี ควรดื่มกี่แก้วจึงจะเหมาะสม?

ในความเป็นจริงแล้วไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ในทุกช่วงเวลาแต่ก็มีเวลาแนะนำที่ควรดื่มไวน์ดังนี้

ดื่มไวน์รวมกับมื้ออาหาร หรือก่อนนอน 3 ชั่วโมง 

การดื่มไวน์ในช่วงนี้จะทำให้ร่างกายมีเวลาเผาผลาญไวน์ที่ดื่มเข้าไป ช่วยให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น และการดื่มไวน์กับอาหารยังช่วยย่อยอาหาร ทำให้การทำงานของระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ดีขึ้นได้

ดื่มไวน์ขาวก่อนมื้ออาหาร

การดื่มไวน์ขาวก่อนอาหารมื้อหลัก หรือกินกับอาหารเรียกน้ำย่อย จะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดี ส่วนการดื่มไวน์ขาวระหว่างมื้ออาหารจะช่วยเพิ่มความสดชื่นและเพิ่มรสชาติให้อาหารได้

ไม่ดื่มตอนท้องว่าง

เนื่องจากไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทหนึ่ง การดื่มไวน์องุ่นจึงไม่ควรดื่มตอนท้องว่างเพราะแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดอาการมึนเมาและง่วงซึมได้ นอกจากนั้นยังทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารหรือแผลในกระเพาะอาหารได้

ดื่มในปริมาณที่เหมาะสม

การกินไวน์แดงหรือไวน์ขาวเพื่อสุขภาพควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม โดยปริมาณที่แนะนำคือไม่ควรเกิน 1 แก้วต่อวัน  คือ ประมาณ 5 oz หรือ 150 cc ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 12% หากดื่มมากกว่านี้เป็นประจำอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ทำให้เกิดโรคตับแข็ง

วิธีการดื่มไวน์ที่ถูกต้อง ดื่มไวน์แบบไหนดี

ไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีความน่าหลงใหล มีกลิ่นและรสชาติที่มีความซับซ้อนและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์องุ่นที่นำมาใช้ผลิตไวน์ ดินและสภาพอากาศในพื้นที่เพาะปลูกองุ่น กรรมวิธีการหมักบ่มรวมทั้งเทคนิคเฉพาะของ winemaker ดังนั้น แม้ว่าไวน์จะดีและมีราคาแพงแค่ไหน หากไม่รู้วิธีการดื่มไวน์ที่ถูกหลักก็ไม่สามารถลิ้มรสสัมผัสที่แท้จริงของไวน์ได้ เพื่อให้ลิ้มรสสัมผัสและกลิ่นของไวน์ได้อย่างเต็มที่ มีขั้นตอนการดื่มไวน์ที่ถูกต้องมาแนะนำดังนี้

ดู (See) 

ไวน์แต่ละยี่ห้อจะมีเฉดสีที่แตกต่างกัน ทั้งสีแดงออกม่วง สีโกเมน สีทับทิม หรือหากเป็นไวน์ขาวก็จะมีทั้งสีเหลืองอมเขียว สีแบบฟางข้าว สีเหลืองทอง สีเหลืองจางๆ ก่อนการดื่มไวน์ขั้นแรกคือต้องสังเกตว่าสีของไวน์ว่ามีลักษณะแบบใด เช่น มีความใสหรือเข้ม มีความขุ่นมากน้อยแค่ไหน หรือมีตะกอนหรือไม่ การดูเป็นวิธีเบื้องต้นที่บอกได้ว่าไวน์นั้นมีรสสัมผัสหรือ Body เข้มข้นหรือเบาบาง โดยอาจสังเกตได้จากไวน์ที่มีความใสกว่าอาจเป็น Light body ที่ให้รสสัมผัสเบาบาง หากไม่ใสมากนักอาจเป็นรสสัมผัสแบบปานกลาง (Medium) หรือหากเป็นสีเข้ม ทึบ อาจเป็นไวน์แบบ Full body ที่มีความเข้มข้น นอกจากนั้นจะเป็นเครื่องบ่งบอกว่าไวน์นั้นยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือเสียแล้ว เป็นต้น

แกว่ง (Swirl) 

หยิบแก้วขึ้นมาแล้วแกว่ง (Swirl) เบาๆ เพื่อให้อากาศแทรกเข้าไปในเนื้อไวน์ ด้วยการจับก้านไวน์แล้วค่อยๆ หมุนเบาๆ ให้ไวน์แกว่งไปรอบแก้ว กลิ่นของไวน์ หรือ Aroma จะชัดขึ้นและค่อยๆ กระจายกลิ่นออกมา การแกว่งยังช่วยดูปริมาณของน้ำตาลและแอลกอฮอล์ของไวน์ โดยดูจากความหนืดของไวน์ที่ค่อยๆ ไหลลงมาจากขอบแก้วหรือเรียกว่า ขา(Leg) ของไวน์ ว่ามีลักษณะการไหลเป็นอย่างไร ไวน์มีการไหลลื่นลงมาโดยไม่ทิ้งรอยบนขอบแก้ว หรือมีความหนืดค่อยๆ ไหลกลับลงมาขอบแก้ว เป็นต้น

ดม (Sniff) 

การดม ถือว่าเป็นขั้นตอนเพื่อรับกลิ่นหอมเฉพาะตัวของไวน์ ควรดมไวน์ในแก้วไวน์เพราะจะทำให้กลิ่นของไวน์มีความชัดเจนขึ้น หากได้กลิ่นเฉพาะตัวของไวน์ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นของผลไม้ เครื่องเทศ กลิ่น citrus หรือกลิ่นสมุนไพร ได้ทันทีโดยไม่ต้องดมใกล้มากแสดงว่าไวน์นั้นน่าจะเป็นไวน์ที่มีเนื้อสัมผัสเข้มข้น หากได้กลิ่นน้อยมากอาจเป็นไวน์เป็นแบบ Light body ที่มีเนื้อสัมผัสที่เบาบาง นอกจากนั้นยังเป็นการตรวจสอบคุณภาพของไวน์ด้วยว่ามีกลิ่นแปลกไปจากเดิมหรือมีกลิ่นที่ผิดปกติหรือไม่ หากมีกลิ่นแปลกๆ อาจเป็นไปได้ว่าฝาปิดขวดไวน์เสื่อมสภาพจึงไม่สามารถกักเก็บกลิ่นหอมของไวน์ได้ หรือไวน์นั้นอาจจะเสีย 

จิบ (Sip) 

ขั้นตอนสุดท้ายคือการจิบเพื่อรับรสชาติของไวน์ ควรค่อยๆ จิบทีละน้อยเพื่อรับรสชาติของไวน์ให้เต็มที่ พร้อมทั้งพิจารณาดูว่าไวน์มีความหวานมากหรือน้อยเพียงใด มีความฝาดและเปรี้ยวในระดับไหน ความเข้มข้นของไวน์สอดคล้องกับกลิ่นหรือไม่ รวมไปถึงการคงอยู่ของรสชาติที่ลิ้นสัมผัสหลังจากที่กลืนไวน์ลงไปแล้ว โดยหากยังมีรสชาติและกลิ่นตกค้างอยู่ในปากและลำคอหลังกลืนนานกว่า 45 วินาที ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์แบบ Long Length ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon หากคงรสชาติอยู่ในปากและลำคออยู่ระหว่าง 20-40 วินาที จะเป็นไวน์แบบ Medium Length พบได้บ่อยในไวน์ที่ทำจากองุ่นสายพันธุ์ Rieslings, Sauvignon Blancs หากคงรสชาติและกลิ่นสั้นมากไม่เกิน 20 วินาที แทบจะไม่หลงเหลือในปากเลยเหมือนกับการกลืนน้ำเปล่า จะเป็นไวน์แบบ Short Length เป็นต้น

ประโยชน์ของการดื่มไวน์ ดีต่อสุขภาพอย่างไร

ไวน์มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด! การดื่มไวน์ในปริมาณที่เหมาะสมมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน ดังนี้

ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ 

ในไวน์ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารสำคัญหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ช่วยป้องกันร่างกายจากการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่  

  • เรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายมีการซ่อมแซมตัวเอง ต้านการอักเสบ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ช่วยลดความดันโลหิต มีคุณสมบัติต้านมะเร็งโดยการยับยั้งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ช่วยลดการอักเสบและความเครียดจากอนุมูลอิสระในสมองจึงช่วยป้องกันการเกิดโรคทางสมอง เช่น โรคสมองเสื่อม  
  • เควอซิทิน (Quercetin) ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือด ลดไขมันชนิดไม่ดี (LDL-C) ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด 
  • ไพซีแทนอน (Piceatannol) ช่วยการสะสมของไขมัน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยควบคุมน้ำหนัก
  • สารกลุ่มโอพีซี OPCs (Oligomeric proanthocyanidins) เป็นสารในกลุ่มพอลิฟีนอล (polyphenols) ที่พบมากในผลไม้ เช่น องุ่น ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหลอดเลือด ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง เป็นสารธรรมชาติที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด 
  • แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดอุดตันในสมอง ลดความเสี่ยงของดวงตา

ช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง 

ไวน์แดงมีสารโพลีฟีนอลและเรสเวอราทรอลที่ออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือกและฟันได้ การกินไวน์แดงจึงช่วยการเกิดโรคในช่องปาก เช่น ฟันผุและโรคปริทันต์

ช่วยป้องกันโรคหวัด

การดื่มไวน์ช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีงานวิจัยที่พบว่าผู้ที่ดื่มไวน์แดงเป็นประจำป่วยด้วยโรคหวัดน้อยกว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นหรือผู้ที่ไม่ดื่มเลย

ช่วยเพิ่มไขมันดี

มีงานวิจัยที่พบว่าผู้ที่ดื่มไวน์แดง 1-2 แก้วต่อวัน ติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์ มีระดับของไขมันดี (HDL) ในเลือดเพิ่มขึ้นถึง 11-16 เปอร์เซ็นต์ จึงอาจเป็นไปได้ว่าการกินไวน์แดงช่วยเพิ่มระดับไขมันดีในร่างกายได้

จะเห็นได้ว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์น่าค้นหา มีรสชาติและกลิ่นที่ซับซ้อนคล้ายกับงานศิลปะของ winemaker นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน หากต้องการลิ้มลองความพิเศษของไวน์ ที่ SIAMSIPS เรามีไวน์จากแบรนด์ยอดนิยมจากทั่วโลก ให้คุณเลือกสรรได้ตามความพอใจ พร้อมทั้งให้แนะนำเรื่องไวน์สำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มไวน์ ไม่รู้ว่าจะดื่มไวน์ตอนไหนดี ควรเลือกไวน์แบบไหน เราเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายไวน์จากต่างประเทศในราคาย่อมเยา รับประกันสินค้าแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ หากพบสินค้าปลอมยินดีคืนเงินเต็มจำนวน พร้อมทั้งบริการจัดส่งทั่วประเทศ และมีบริการเก็บเงินปลายทาง  สนใจติดต่อสอบถาม เบอร์โทรศัพท์: 0827103675 LINE: @Siamsips

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ดื่มไวน์ตอนไหนดี

ดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ ดื่มไวน์ตอนไหนดี

การดื่มไวน์เพื่อสุขภาพแนะนำให้ดื่มพร้อมกับมื้ออาหารมื้อไหนก็ได้ แต่ต้องกินในปริมาณที่เหมาะสม โดยปริมาณที่แนะนำคือ ไม่ควรเกิน 1 แก้วต่อวัน  คือ ประมาณ 5 oz หรือ 150 cc ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 12%

ไวน์แดงกินตอนท้องว่างได้ไหม

ไม่แนะนำให้กินไวน์ตอนท้องว่างเพราะแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดอาการมึนเมาและง่วงซึมได้ นอกจากนั้นยังทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารหรือแผลในกระเพาะอาหารได้

กินไวน์ก่อนนอนดีไหม

การกินไวน์ก่อนนอนจะช่วยผ่อนคลายความเครียดและทำให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น โดยควรกินไวน์พร้อมกับมื้ออาหารเย็น หรือก่อนเข้าก่อน 3 ชั่วโมง